สัปดาห์ที่7 การเรียนการสอนของไทย

บทที่3 
รูปแบบการเรียนการสอนและกระบวนการเรียน
การสอนของไท

       นักการศึกษาไทยได้ติดตามศึกษาความก้าวหน้าด้านวิชาเหล่านี้ และได้นำมาเผยแพร่ในวงการศึกษาไทย ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกันมีครู อาจารย์ นักคิด นักการศึกษาผู้มีประสบการณ์ในการจัดการณ์เรียนรู้ พยายามคิดค้นขึ้นจากความรู้ประยุกต์จากประสบการณ์ ทฤษฎีที่เป็นความรู้เดิมมา และยังมีอีกกลุ่มหนึ่งได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับ "กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน" โดยแบ่งออกเป็น3 หมวดใหญ่ๆ ดังนี้
1.รูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้นโดยนักการศึกษาไทย
2.รูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาโดยนิสิตนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา
3.กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน
ก่อนนำเสนอรูปแบบและกระบวนการดังกล่าวผู้เขียนขอทำความเข้าใจก่อนว่า รูปแบบบางรูปแบบที่นำเสนอและผู้เขียนเรียกว่ารูปแบบการเรียนการสอนนั้น บุคคลที่พัฒนารูปแบบนั้นขึ้นมาอาจไม่ได้เรียกชื่องานของท่านว่าเป็นรูปแบบการเรียนการสอน บางท่านเรียกว่า “การสอน” “รูปแบบการสอน” “การจัดการเรียนการสอน” “ การสอนแบบ...” ซึ่งโดยความหมายและลักษณะผลงานแล้ว ตรงกับความหมายของ “รูปแบบการเรียนการสอน” ทั้งสิ้น ดังนั้น ผู้เขียนจึงขอใช้คำว่า รูปแบบการเรียนการสอนทั้งหมด เพื่อความเป็นระบบระเบียบ และทำให้ผู้อ่านไม่เกิดความสับสน

1.รูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้นโดยนักการนักศึกษาไทย
ผู้เขียนจำนำเสนอ รูปแบบ ดังนี้
1.1รูปแบบการเรียนการสอนทักษะกระบวนการเผชิญสถานการณ์พัฒนาโดย สมุน อมรวิวัฒน์
1.2รูปแบบการเรียนการสอนโดยสร้างศรัทธาและโยนิโสมนสิการ
1.3รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการคิดเพื่อการดำรงชีวิตในสังคมไทย
1.4รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง

1.1รูปแบบการเรียนการสอนทักษะกระบวนการเผชิญสถานการณ์พัฒนาโดยสมุน อมรวิวัฒน์
ก.ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
สมุน อมรวิวัฒน์ (2553:168-170) ได้พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนนี้ขึ้นมาจากแนวคิดที่ว่า การศึกษาที่แท้ควรสัมพันธ์สอดคล้องกับการดำเนินชีวิต วึ่งต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ซึ่งมีทั้งทุกข์ สุข ความสมหวังและความผิดหวังต่างๆการศึกษาที่แท้ควรช่วยให้ผู้เรียนรู้ที่จะเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆเหล่านั้น และสามารถเอาชนะปัญหาเหล่านั้นได้โดย
1.การเผชิญ ได้แก่การเรียนรู้ที่จะเข้าใจภาวะที่ต้องเผชิญ
2.การผจญ คือ การเรียนรู้วิธีต่อสู้กับปัญหาอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรมและมีหลักการ
3.การผสมผสาน ได้แก่ การเรียนรู้ที่จะผสมผสานวิธีการต่างๆเพื่อนำไปใช้แก้ปัญหาได้สำเร็จ
4.เผด็จการ คือ การลงมือแก้ปัญหาให้หมดไป โดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาสืบเนื่องต่อไปอีก
ข.วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
รูปแบบนี้มุ่งพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาและทักษะกระบวนการต่างๆจำนวนมาก อาทิ กระบวนการคิด (โยนิโสมนสิการ) กระบวนการเผชิญสถานการณ์ กระบวนการแสวงหาความรู้ กระบวนการประเมินค่าและตัดสินใจ กระบวนการสื่อสาร ฯลฯ รวมทั้งพัฒนาคุณธรรม จริยธรรมในการแก้ปัญหาและการดำรงชีวิต
ค.กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
กระบวนการดำเนินการมีดังนี้ (สมุน อมรวิวัฒน์,2553:170-171;2542:55-145)
1.ขั้นนำ การสร้างศรัทธา
1.1ผู้สอนจัดสิ่งแวดล้อมและบรรยากาศในชั้นเรียนให้เหมาะสมกับเนื้อหาของบทเรียน และเร้าใจให้ผู้เรียนเห็นความสำคัญของบทเรียน
1.2ผู้สอนสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับผู้เรียน
2.ขั้นสอน
2.1ผู้สอนหรือผู้เรียนนำเสนอสถานการณ์ปัญหา
2.2ผู้เรียนฝึกทักษะการแสวงหาและรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง ความรู้ และหลักการต่างๆ
2.3ผู้เรียนฝึกสรุปประเด็นสำคัญ ฝึกการประเมินค่า เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาว่าทางใดดีที่สุด โดยใช้วิธีคิดหลายๆวิธี(โยนิโสมนสิการ)
2.4ผู้เรียนฝึกทักษะการเลือกและตัดสินใจ โดยการฝึกการประเมินค่าตามเกณฑ์ที่ถูกต้อง ดีงาม เหมาะสม ฝึกการวิเคราะห์ผลดี ผลเสียที่เกิดขึ้นจากทางเลือกต่าง และฝึกการใช้หลักการ ประสบการณ์ และการทำนายมาใช้ในการเลือกหาทางที่ดีที่สุด
2.5ผู้เรียนลงมือปฏิบัติตามทางเลือกที่ได้ให้ไว้
3.ขั้นสรุป
3.1ผู้เรียนแสดงออกด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การพูด เขียน แสดง หรือกระทำในรูปแบบต่างๆที่เหมาะสมกับความสามารถและวัย
3.2ผู้เรียนและผู้สอนสรุปบทเรียน
3.3ผู้สอนวัดและประเมินผลการเรียนการสอน
ง.ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
ผู้เรียนจะได้พัฒนาความสามารถในการเผชิญปัญหา และสามารถคิดและตัดสินใจได้อย่างเหมาะสม
1.2 รูปแบบการเรียนการสอนโดยสร้างศรัทธาและโยนิโสมนสิการโดย สมุน อมรวิวัฒน์
      ก.ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
ในปี พ.ศ.2526 สมุน อมรวิวัฒน์ นักการศึกษาไทยผู้มีชื่อเสียงและมีผลงานทางการศึกษากับการสร้างศรัทธาและโยนิโสมนสิการ มาสร้างเป็นหลักการและขั้นตอนการสอนตามแนวพุทธวิธีขึ้น รูปแบบการเรียนการสอนนี้พัฒนาขึ้นจากหลักการที่ว่า ครูเป็นบุคคลสำคัญที่สามารถจัดสภาพแวดล้อม แรงจูงใจ และวิธีการสอนให้ศิษย์เกิดศรัทธาที่จะเรียนรู้ จะสามารถช่วยพัฒนาให้ศิษย์เกิดปัญญาและแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม (สมุน อมรวิวัฒน์, 2533:161)
ข.วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
            รูปแบบนี้มุ่งพัฒนาความสามารถในการคิด (โยนิโสมนสิการ) การตัดสินใจและการแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่เรียน
ค.กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
            1. ขั้นนำ การสร้างเจตคติที่ดีต่อครู วิธีการเรียนและบทเรียน
            1.1 จัดบรรยากาศในชั้นเรียนให้เหมาะสม ได้แก่ เหมาะสมในระดับของชั้นวัยของผู้เรียน วิธีการเรียนการสอนและเนื้อหาของบทเรียน
            1.2สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครูกับศิษย์ ครูเป็นกัลยาณมิตร หมายถึง ครูทำตนให้เป็นที่เคารพรักของศิษย์ โดยมีบุคลิกที่ดี สะอาด แจ่มใส และสำรวม มีสุขภาพจิตดี มีความมั่นใจในตนเอง
            1.3การเสนอสิ่งเร้าและแรงจูงใจ
            ก. ใช้สื่อการเรียนการสอน หรืออุปกรณ์และวิธีการต่างๆ เพื่อเร้าความสนใจ เช่น การจัดป้ายนิเทศ นิทรรศการ เสนอเอกสารภาพ กรณีปัญหา กรณีตัวอย่าง สถานการณ์จำลอง เป็นต้น
            ข.จัดกิจกรรมขั้นนำที่สนุก น่าสนใจ
            ค.ศิษย์ได้ตรวจสอบความรู้ ความสามารถของตน และได้รับทราบผลทันที
            2. ขั้นสอน
            2.1 ครูเสนอปัญหาที่เป็นสาระสำคัญของบทเรียน
            2.2 ครูแนะนำแหล่งวิทยาการและแหล่งเรียนรู้
            2.3 ครูฝึกการรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง ความรู้และหลักการ
            2.4 ครูจัดกิจกรรมที่กระตุ้นให้ผู้เรียนคิด ลงมือค้นคว้า คิดวิเคราะห์ และสรุปความคิด
            2.5 ครูฝึกการสรุปประเด็นของข้อมูล ความรู้
            2.6 ศิษย์ดำเนินการเลือกและตัดสินใจ
            2.7 ศิษย์ทำกิจกรรมฝึกปฏิบัติเพื่อพิสูจน์ผลการเลือก ปละการตัดสินใจ
            3. ขั้นสรุป
            3.1 ครูและศิษย์รวบรวมข้อมูลจากการสังเกตการณ์ปฏิบัติทุกขั้นตอน
            3.2 ครูและศิษย์อภิปรายร่วมกันเกี่ยวกับข้อมูลที่ได้
            3.3 ครูและศิษย์สรุปผลการปฏิบัติ
            3.4 ครูและศิษย์สรุปบทเรียน
            3.5 ครูวัดและประเมินผลการเรียนการสอน
ง.ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
            ผู้เรียนจะได้พัฒนาทักษะในการคิด การตัดสินใจ และการแก้ปัญหาอย่างเหมาะสม
1.3 รูปแบบการเรียนการสอนการคิดเป็นเพื่อการดำรงชีวิตในสังคมไทย โดย หน่วยศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษา
ก.ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
หน่วยศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษา (2537) ได้พัฒนารายวิชา “การคิดเป็นเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสังคมไทย” ขึ้น เพื่อพัฒนานักเรียนระดับมัธยมศึกษาให้สามารถคิดเป็น รู้จักและเข้าใจตนเอง รายวิชาประกอบด้วยเนื้อหา 3 เรื่อง คือ 1.การพัฒนาความคิด (สติปัญญา) 2. การพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม (สัจธรรม) และ 3. การพัฒนาอารมณ์ ความรู้สึก
            กิจกรรมที่ใช้เป็นกิจกรรมปฏิบัติการ 4 กิจกรรม ได้แก่ 1. กิจกรรมปฏิบัติการพัฒนากระบวนการคิด 2. กิจกรรมปฏิบัติการพัฒนารากฐานความคิด 3. กิจกรรมปฏิบัติการในชีวิตจริง 4. กิจกรรมปฏิบัติการประเมินผลการพัฒนาประสิทธิภาพของชีวิตและงาน
ข.วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
            รูปแบบนี้มุ่งช่วยพัฒนากระบวนการคิด ให้ผู้เรียนสามารถคิดเป็น คือ คิดโดยพิจารณาข้อมูล ด้าน ได้แก่ ข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อมและข้อมูลทาววิชาการ เพื่อประโยชน์ในการดำรงชีวิตในสังคมไทยอย่างมีความสุข
ค.กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
            ขั้นที่ ขั้นสืบค้นปัญหา เผชิญสถานการณ์ในวิถีการดำรงชีวิต ผู้สอนอาจนำเสนอสถานการณ์ในวิถีการดำรงชีวิต หรืออาจใช้สถานการณ์และปัญหาจริงที่ผู้เรียนประสบมาในชีวิตการดำรงชีวิต
            ขั้นที่ 2 ขั้นรวบรวมข้อมูลและผสมผสานข้อมูล 2 ด้าน
            เมื่อค้นพบปัญหาแล้ว ให้ผู้เรียนศึกษาข้อมูลความรู้ต่างๆที่เกี่ยวข้องในสถานการณ์นั้น โดยรวบรวมข้อมูลที่ให้ครบทั้ง 3ด้าน คือ ด้านที่เกี่ยวกับตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อม และด้านหลักวิชาการ
            ขั้นที่ ขั้นการตัดสินใจอย่างมีเป้าหมาย
            ผู้เรียนแสวงหาทางเลือกในการแก้ปัญหา โดยพิจารณาไตร่ตรองถึงผลที่จะเกิดขึ้นทั้งกับตนเอง ผู้อื่น และสังคมโดยรวม และตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ดีสุด
            ขั้นที่ ขั้นปฏิบัติและตรวจสอบ
            เมื่อตัดสินใจเลือกแนวปฏิบัติได้แล้ว ผู้เรียนลงมือปฏิบัติจริงด้วยตนเอง
            ขั้นที่ 5 ขั้นประเมินผลและวางแผนพัฒนา
ง.ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
            หน่วยศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษา (2543 ) ได้ทดลองใช้รูปแบบดังกล่าวในการสอนนักเรียนระดับมัธยมศึกษาแล้วพบว่า ผู้เรียนมีความสามารถในการคิดเป็น สามารถแก้ปัญหาต่างๆได้ มีความเข้าใจในตนเองและผู้อื่นมากขึ้น เข้าใจระบบความสัมพันธ์ในสังคม และเกิดทักษะและเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต
1.4รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้โมเดลซิปปา (CIPPA Model) หรือรูปแบบการประสาน แนวคิดหลักโดย ทิศนา  แขมมณี

ก.ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
ทิศนา  แขมมณี (2542 : 17) รองศาสตราจารย์ ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ได้พัฒนารูปแบบนี้ขึ้นจากประสบการณ์ที่ใช้ได้ในแนวคิดการศึกษาต่างๆ ในการสอนเป็นเวลาประมาณ 30 ปี และพบว่าหลักการเรียนรู้จำนวนหนึ่งสามารถใช้ได้ผลดีตลอดมา หลักดังกล่าว ได้แก่ 1. หลักการสร้างความรู้ 2. หลักกระบวนการกลุ่มและการเรียนรู้แบบร่วมมือ 3.หลักความพร้อมในการเรียนรู้ หลักการเรียนรู้กระบวนการ และ 5. หลักการถ่ายโอนการเรียนรู้ หลักการทั้ง เป็นที่มาของแนวคิด “CIPPA” ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เอให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้สูงสุด โดยการให้ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้ด้วยตนเองC = construction of knowledge และมีการปฏิสัมพันธ์ I = interaction กับบุคคลอื่นๆและสิ่งแวดล้อมรอบตัวหลายๆด้าน โดยใช้ทักษะกระบวยการ P = process skills จำนวนมากเป็นเครื่องมือในการสร้างความรู้  การให้ผู้เรียนมีการเคลื่อนไหวทางกายอย่างเหมาะสม P = physical participation และผู้เรียนมีโอกาสนำความรู้นั้นไปประยุกต์ใช้ A = application ซึ่งผู้สอนสามารถนำแนวคิดทั้ง ดังกล่าวไปใช้เป็นหลักในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางให้มีคุณภาพได้
อ้างอิงภาพจาก: www.slideplayer.com

ข.วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
            รูปแบบนี้มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความรู้ ความเข้าใจในเรื่องที่เรียนอย่างแท้จริง โดยการให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยอาศัยการร่วมมือจากกลุ่ม
ค.กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
            ซิปปา (CIPPA) เป็นหลักการหรือแนวคิด ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นหลักในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆให้แก่ผู้เรียน การจัดกระบวนการเรียนการสอนตามหลัก “CIPPA” นี้สามารถใช้วิธีการและกระบวนการที่หลากหลาย ประกอบด้วยขั้นตอนการดำเนินการ ขั้นตอน ดังนี้
            ขั้นที่ 1การทบทวนความรู้เดิม
            ขั้นนี้เป็นการดึงความรู้เดิมของผู้เรียนในเรื่องจะเรียนเพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีความพร้อมในการเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิมของตน ซึ่งผู้สอนอาจใช้วิธีการต่างๆได้อย่างหลากหลาย
            ขั้นที่ 2 การแสวงหาความรู้ใหม่
            ขั้นที่ 3 การศึกษาทำความเข้าใจข้อมูล/ความรู้ใหม่ และเชื่อมโยงความรู้ที่หามาได้
            ขั้นที่ 4 การแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกับกลุ่ม
            ขั้นที่ 5  การสรุปจัดระเบียบความรู้ และวิเคราะห์กระบวนการเรียนรู้
            ขั้นที่ 6 การปฏิบัติและการแสดงผลงาน
            ขั้นที่ 7 การประยุกต์ใช้ความรู้
ง.ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
            ผู้เรียนจะเกิดความเข้าใจในสิ่งที่เรียน สามารถอธิบาย ชี้แจง ตอบคำถามได้ดี นอกจากนั้นยังได้พัฒนาในการคิดวิเคราะห์ การคิดสร้างสรรค์ การทำงานเป็นกลุ่ม การสื่อสารรวมทั้งเกิดการใฝ่รู้ด้วย
2. รูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาโดยนิสิตนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา
2.1รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการกิจกรรมทางกาย (Physical Knowledge Activity) ในการสร้างมโนทัศน์พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กก่อนประถมศึกษา
ก.ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
เตือนใจ ทองสำริด (2531) อาจารย์ประจำสถาบันราชภัฏสวนสุนันทา ได้ทำการวิจัยเรื่องนี้เป็นวิทยานิพนธ์ระดับดุษฎีบัณฑิต โดยใช้แนวของเดอวรีย์ (Devries) ซึ่งเป็นวิธีการที่ทำให้ผู้เรียนกระทำกิจกรรมทางกาย จะทำให้ผู้เรียนเกิดพัฒนาการทางสติปัญญา
ข.วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
มีวัตถุประสงค์สำคัญที่จะสร้างมโนทัศน์พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นการส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญา ควบคู่ไปกับการส่งเสริมพัฒนาการทางอารมณ์และสังคมของเด็กก่อนประถมศึกษา
ค.กระบวนการการเรียนการสอนของรูปแบบ
1.ขั้นสร้างสถานการณ์ปัญหาและแนะนะอุปกรณ์
2.ขั้นสำรวจตรวจค้นและชักจูง
3.ขั้นขยายประสบการณ์
4.ขั้นสรุปและประเมินผล
ง.ผลที่ผู้เรียนรับจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
เตือนใจ ทองสำริด (2530 : 181-183) ได้นำรูปแบบนี้ไปทดลองใช้กับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 จำนวน 2 กลุ่ม พบว่าคะแนนมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าก่อนนอกจากนั้นยังพบว่า นักเรียนมีความกระตือรือร้นในการเรียนและสนใจสื่อมาก รูปแบบนี้นอกจากนี้นอกจากจะใช้กับเด็กก่อนวัยเรียนแล้ว ผู้วิจัยได้เสนอแนะว่าสามารถปรับใช้กับเด็กระดับประถมศึกษาตอนต้นได้ดี โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์
            2.2รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้สาระอิงบริบท (Anchored Instruction) เพื่อส่งเสริมความใฝ่รู้ของนักเรียนระดับประถมศึกษา
            ก.ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
            วิโรจน์ วัฒนานิมิตกูล (2540) ให้ความหมายของคำว่า Anchor ตามลักษณะการใช้งานได้ว่าเป็น
1.จุดรวม
2.ความลึก
3.ความกว้าง
ซึ่งแสดงถึงการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่นำสาระซึ่งมีความซับซ้อนทั้งทางกว้างและลึกและมีมุมมองได้หลายด้านมาเป็นเนื้อหาการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถศึกษาค้นคว้าและสรุปเป็นองค์รวมได้ สามารถสร้างแรงจูงใจให้ผู้เรียนเกิดความต้องการจะศึกษาค้นคว้าหาความรู้นั้นในแง่มุมต่างๆที่ผู้เรียนสนใจ
            ข.วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
การใช้รูปแบบนี้จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในเนื้อหานั้นๆ อย่างลึกซึ้ง รวมทั้งให้ผู้เรียนได้เกิดทักษะการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง
            ค.กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
ผู้สอนมุ่งมุ่งนำเสนอสาระอิงบริบทให้ผู้เรียนพิจารณาประเด็นต่างๆ ในแง่มุมที่ต้องการศึกษาค้นคว้าความรู้ โดยใช้วิธีการที่หลากหลายแล้วนำความรู้ที่ได้มาแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน จากนั้นจึงสรุปเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับสาระอิงบริบทเดิม เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ในสาระอิงบริบทนั้นๆยิ่งขึ้น แล้วนำความรู้ที่ได้ทั้งหมดไปใช้ในการพิจารณาประเด็นที่ค้นคว้าต่อไป
            ง.ผลที่ผู้เรียนได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
วิโรจน์ วัฒนานิมิตกูล (2540 : 151-154) ประเมินประสิทธิภาพของรูปแบบการสอน ผลปรากฏว่าหลังการทดลองสอนนักเรียนกลุ่มทดลองได้คะแนนเฉลี่ยด้านทักษะการแสวงหาความรู้ และคะแนนเฉลี่ยด้านเจตคติต่อการแสวงหาความรู้สูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
           
2.3รูปแบบการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ตามแนวคิดของทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ (Constructivism) สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษา
ก.ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
ไพจิตร สะดวกการ (2538) ศึกษานิเทศก์ กรมสามัยศึกษาได้พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนคณิตศาสตร์นี้ขึ้นเป็นวิทยานิพนธ์ระดับดุษฎีบัณฑิตเพื่อใช้สอบนักศึกษาระดับมัธยมศึกษา โดยใช้แนวคิดของคอนสตรัคติวิสต์โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
1.การเรียนรู้คือการสร้างโครงสร้างทางปัญญาที่สามารถคลี่คลายสถานการณ์ที่เป็นปัญหาและใช้เป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหา
2.นักเรียนเป็นผู้สร้างความรู้ด้วยวิธีการที่ต่างกัน โดยอาศัยประสบการณ์เดิมโดยโครงสร้างทางปัญญาที่มีอยู่ ความสนใจและแรงจูงใจภายในตนเองเป็นจุดเริ่มต้น
3.ครูมีหน้าที่จัดให้นักเรียนได้ปรับขยายโครงสร้างทางปัญญาของนักเรียน
            ข.วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
รูปแบบนี้มุ่งพัฒนาผลสัมฤทธิ์ในการเรียนคณิตศาสตร์ โดยช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างเข้าใจ จากการมีโอกาสได้สร้างความรู้ด้วนตนเอง
            ค.กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
ขั้นตอนที่ 1 สร้างความขัดแย้งทางปัญญา
ขั้นตอนที่ ดำเนินกิจกรรมไตร่ตรอง
ขั้นตอนที่ สรุปผลการสร้างโครงสร้างใหม่ทางปัญญา
            ง.ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบนี้
ผู้เรียนจะมีความเข้าใจมโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์ที่ตนและกลุ่มเพื่อนได้ร่วมคิดโดยกระบวนการสร้างความรู้และพัฒนาทักษะกระบวนการต่างที่สำคัญทางคณิตศาสตร์

            2.4 รูปแบบการเรียนการสอนการเขียนภาษาอังกฤษแบบเน้นกระบวนการ (Process Approach) สำหรับนักศึกษาไทยระดับอุดมศึกษา
            ก.ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
รูปแบบการเรียนการสอนการเขียนภาษาอังกฤษแบบเน้นกระบวนการนี้ เป็นผลงานวิทยานิพนธ์ระดับดุษฎีบัณฑิตของ พิมพันธ์ เวสสะโกศล (2533) อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ การเรียนการสอนมุ่งเน้นที่กระบวนการที่ทั้งหลายที่ใช้ในการสร้างงานเขียน การสอนควรเป็นการเสนอแนะวิธีการสร้างและเรียบเรียงความคิดมากกว่าจะเป็นการสอนรูปแบบและโครงสร้างของภาษา
           
ข.วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
รูปแบบนี้มุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนสามารถเขียนภาษาอังกฤษในระดับข้อความได้ โดยข้อความนั้นสามารถสื่อความหมายได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ และเป็นข้อความที่ถูกต้องทั้งหลักการใช้ภาษาและหลักการเขียน นอกจากนั้นยังสามารถพัฒนาความสามารถในการใช้กระบวนการเขียนในการสร้างงานเขียนที่ดีด้วย
            ค.กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
ขั้นที่ 1 ขั้นก่อนการเขียน
ขั้นที่ 2 การเรียบเรียงข้อมูล
ขั้นที่ ขั้นปรับปรุงแก้ไข
            ง.ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนการสอนตามรูปแบบ
            กลุ่มทดลองที่ใช้รูปแบบนี้ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเขียนภาษาอังกฤษสูงกว่ากลุ่มควบคุมที่เรียนโดยอาจารย์ใช้วิธีสอนแบบเน้นตัวงานเขียนอย่างมีนัยสำคัญและผู้วิจัยได้เสนอแนะให้รูปแบบนี้ไปประยุกต์ใช้ในการสอนเขียนในระดับอื่นๆด้วย
                                   
2.5 รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นทักษะปฏิบัติสำหรับครูวิชาอาชีพ
            ก.ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
นวลจิตต์ เชาวกีรติพงศ์ (2535) ได้พัฒนารูปแบบนี้ เพื่อการเรียนการสอนวิชาอาชีพสายต่างๆซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นทักษะปฏิบัติโดยอาศัยแนวคิดและหลักการเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะปฏิบัติ
            ข.วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
รูปแบบนี้มุ่งพัฒนาความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับงานที่ทำ และเกิดทักษะที่สามารถจะทำงานนั้นได้อย่างชำนาญตามเกณฑ์ รวมทั้งมีเจตคติที่ดีมีลักษณะนิสัยที่ดีในการทำงานด้วย
           
ค.กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
ยุทธวิธีที่ การสอนทฤษฎีก่อนสอนงานปฏิบัติ
ยุทธวิธีที่ การสอนงานปฏิบัติก่อนสอนทฤษฎี
ยุทธวิธีที่ การสอนทฤษฎีและปฏิบัติไปพร้อมๆกัน
            ง.ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
ผลการทดลองพบว่า ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ทางด้านทฤษฎีถึงขั้นความเข้าใจและประสบผลสำเร็จในด้านการพัฒนาทักษะในระดับที่สามารถปฏิบัติงานให้มีคุณภาพได้ถึงเกณฑ์ที่ต้องการรวมทั้งได้แสดงพฤติกรรมของการมีลักษณะนิสัยที่ดีในการทำงานด้วย


อ้างอิงข้อมูลจาก:ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิจิตรา   ธงพานิช.  วิชาการออกแบบและการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียน.  พิมพ์ที่ โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ นครปฐม
3.กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน
    ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาของประเทศไทย ในปัจจุบัน
            1.  คุณภาพการจัดการศึกษาไทยในปัจจุบัน
             1) ระบบการศึกษาไทยในปัจจุบัน เป็นระบบที่เน้นการเรียนหนังสือตามช่วงอายุและระดับชั้นเป็นหลัก โดยมีโรงเรียน สถาบันการศึกษา และกระทรวงที่จัดการศึกษาเป็นแหล่งอำนาจเดียวในการแบ่งระดับชั้นดังกล่าว ยังมีการแบ่งหน่วยงานรับผิดชอบที่ไม่มีการประสานสัมพันธ์กันเท่าที่ควร ทำให้การศึกษากลายเป็นกระบวนการแยกส่วนจากชีวิตประจำวัน และเป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนต้องทุกข์ทรมานกับการแก่งแย่งแข่งขัน  ยิ่งไปกว่านั้นค่านิยมในประกาศนียบัตรหรือใบปริญญาทำให้การศึกษาไม่ได้เป็นกระบวนการที่ช่วงพัฒนาการเรียนรู้ของคนได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
             2) แนวคิดในการจัดการศึกษาในปัจจุบันมุ่งเน้นการผลิตคน เพื่อรับใช้สังคมเมืองเท่านั้น เนื่องจากหลักสูตรที่จัดทำออกมาและมุ่งพัฒนาสังคมเมืองเท่านั้นไม่ได้สอดคล้อง กับชีวิตของคนในชนบท ทำให้คนเหล่านั้น ก้าวจากสังคมชนบท ไปตั้งหลักแหล่งในสังคมเมือง แทนที่จะกลับไปพัฒนาท้องถิ่นของตนเอง
            3) ผลสัมฤทธิ์การศึกษาในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยรวมแล้วอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ส่งผลให้ผู้สำเร็จการศึกษามีคุณภาพต่ำ คิดไม่เป็น ทำไม่ได้ แก้ปัญหาไม่ได้ ไม่รักการเรียนรู้ เป็นแรงงานที่มีคุณภาพต่ำ การเรียนการสอนไม่ได้เน้นความสามารถสากลเท่าที่ควร ขาดการอบรมบ่มนิสัย ไม่ได้ปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมและภูมิปัญญาไทยอย่างเพียงพอ ทั้งนี้เพราะคุณภาพครูส่วนใหญ่ไม่ได้มาตรฐาน และหลักสูตรการเรียนการสอนและการประเมินผลผู้เรียน เน้นวิชาและครูเป็นตัวตั้ง ไม่ได้ให้ความสำคัญแก่ผู้เรียน การเรียนการสอนไม่เชื่อมโยงกับชีวิตจริง เน้นการท่องจำ แต่ไม่เน้นการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ และการคิดริเริ่มสร้างสรรค์
          2. ความเจริญก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
             ในโลกแห่งยุคโลกาภิวัตน์ เทคโนโลยีมีบทบาทต่อชีวิตมนุษย์มากยิ่งขึ้นทุกวัน ความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีโดยเฉพาะเทคโนโลยีสารสนเทศที่เข้ามามีบทบาทในการดำเนินชีวิตประจำวันจากที่เคยดำเนินชีวิตตามวิถีวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป  แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีที่มีความเจริญก้าวหน้าเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ใหญ่โตมโหฬาร ทำให้การดำเนินชีวิตของมนุษย์เราเปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยเป็นอยู่อย่างรวดเร็ว แทบจะตั้งรับไม่ทัน เพื่อให้ชีวิตก้าวทันกับพัฒนาการทางเทคโนโลยี จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพัฒนาตนเองให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปอย่างรวดเร็วในโลกปัจจุบัน           ความเจริญก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทที่สำคัญต่อการศึกษาของไทย ทำให้สามารถจัดการเรียนการสอนได้อย่างทั่วถึงในปัจจุบันด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี รวมทั้งการสื่อสารโทรคมนาคมที่ผ่านช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอินเทอร์เน็ต ดาวเทียม หรือโทรทัศน์ ทำให้การเรียนการสอนตามวิถีวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมที่มีผู้เรียนและผู้สอนร่วมทำกิจกรรมการเรียนการสอนภายในห้องเรียนได้ถูกเปลี่ยนไป ผู้เรียนกับผู้สอนไม่จำเป็นจะต้องอยู่ในที่ที่เดียวกัน จะอยู่ที่ไหนก็ได้ แต่ก็คงยังติดต่อสัมพันธ์กันได้ หรือแม้แต่ผู้เรียนจะเรียนในเวลาใดก็ได้ จะทบทวนบทเรียนให้เกิดความรู้ความเข้าใจมากยิ่งขึ้นกี่ครั้งก็ยังได้ ทำให้สามารถจัดการศึกษาได้อย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้น ผู้คนมีโอกาสและทางเลือกในการศึกษามากยิ่งขึ้นไม่ว่าจะเป็นการศึกษาทางไกล (Distance Education) และการเรียนอิเล็กทรอนิกส์ (e-Learning)
            3. ด้านเศรษฐกิจ
          โลกกำลังมีปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวควบคู่ไปกับปัญหาเงินเฟ้อ (STAGFLATION)  อันเนื่องจากน้ำมัน ธัญพืชที่เป็นอาหาร วัสดุก่อสร้างฯลฯ มีราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และคงจะอยู่ในระดับสูงต่อไป ประเทศไทยซึ่งมีระบบเศรษฐกิจแบบพึ่งพาการลงทุนและการค้าระหว่างประเทศมาก มีโอกาสจะได้รับผลกระทบจากปัญหานี้สูง ในแง่ที่ว่าไทยต้องพึ่งพาการผลิตเพื่อการส่งออก ที่ต้องการการนำเข้าสินค้าเครื่องจักร วัตถุดิบ และน้ำมันมาก  หากประเทศสหรัฐและประเทศพัฒนาอุตสาหกรรมอื่นต่างมีปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว พวกเขาก็จะซื้อสินค้าจากไทยลดลง ทำให้เศรษฐกิจไทยซึ่งพึ่งพาเศรษฐกิจโลกมากมีปัญหาชะลอตัวด้วย
          จากการเจริญเติบโตด้านเศรษฐกิจของประเทศไทยในปัจจุบัน ในการจัดการศึกษาที่ดีจึงควรมุ่งตอบสนองความต้องการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ คือ การผลิตแรงงานทั้งในสาขาที่เป็นที่ต้องการในตลาดแรงงาน เช่น ช่างฝีมือ นักวิชาชีพต่าง ๆ และสาขาที่จะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมของประเทศ เช่น เกษตรกร ผู้ประกอบอาชีพอิสระรายย่อย ผู้ทำงานด้านภาครัฐ และสังคม ประชาอย่างใกล้เคียงกับความต้องการ   ปัจจุบันมีปัญหาคนจบมหาวิทยาลัยที่ว่างงานเป็นสัดส่วนสูงขึ้น แต่แรงงานอาชีวะระดับกลาง(ปวช.) และระดับสูง (ปวส.) ยังขาดแคลน   
                4. ด้านสังคม ศาสนาและวัฒนธรรม
                จากความหมายของ “โลกาภิวัตน์” ที่ว่าคือ กระแสการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางทำให้เกิดการติดต่อด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ  สร้างตลาดการค้า  การแข่งขัน  การส่งออก  การบริการ  การลงทุน  และองค์ความรู้ เทคโนโลยีร่วมสมัยและเป็นการหลอมรวมความสัมพันธ์ต่างๆ ทางด้านการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ที่เกิดขึ้นในทุกมุมโลก ให้เป็นอันหนึ่งเป็นเดียวกันและใกล้ชิดกันมากขึ้นตามแบบอย่างโลกตะวันตก 
          การจัดการศึกษาในปัจจุบันก็มีทิศทางตามกระแสของโลกตะวันตก โดยมีวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นตัวสนับสนุนให้สังคมโลกใกล้กันมากขึ้น จนเกิดเป็นลักษณะของหมู่บ้านโลก
            5. แนวโน้มของจำนวนประชากรไทย
          เนื่องจากมีการวางแผนประชากรเพิ่มขึ้น และคนไทยแต่งงานช้าลง นิยมมีลูกน้อยลง  ทำให้อัตราการเพิ่มประชากรต่ำ คือจะเพิ่มอย่างช้า ๆ  และเพิ่มถึงจุดสูงสุดที่ 65.2 ล้านคน ในราว 12-13 ปีข้างหน้า  หลังจากนั้นจะค่อย ๆ ลดลงเล็กน้อย กลับมาทรงตัวอยู่ที่ระดับ 60 ล้านคน ในอีก 30-50 ปีข้างหน้า
แต่โครงสร้างด้านอายุของประชากรจะเปลี่ยนไป คือ เนื่องจากมีอัตราเกิดลดลง ประชากรวัยเด็กจะค่อย ๆ มีสัดส่วนลดลง  ขณะที่มีการพัฒนาด้านสาธารณสุขสูงและการที่คนรู้จักดูแลสุขภาพดีขึ้น  ทำให้คนอายุยืนขึ้น สัดส่วนของผู้สูงอายุ เช่น 60 ปีขึ้นไปจึงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น (ปราโมทย์ ประสานกุล  และคณะ. 2550) 
จะเห็นได้ว่าปัจจัยด้านแนวโน้มของจำนวนประชากรไทย มีผลต่อแนวโน้มการจัดระบบและระดับการศึกษา ดังจะเห็นได้จากตารางนี้
ตารางแสดงประชากรวัยเรียนในอนาคต พ.ศ. 2548 – 2583    (ล้านคน)

ระดับการศึกษา

2548
2553
2558
2563
2568
2573
2578
2583

ต่ำกว่า 3 ปี

2.8
2.3
2.2
2.1
1.9
1.8
1.7
1.6
ก่อนประถม (3-5 ปี)
2.7
2.6
2.3
2.2
2.0
1.9
1.8
1.6
ประถมศึกษา (6-11 ปี)
5.7
5.5
5.1
4.5
4.3
4.0
3.7
3.5
มัธยมต้น (12-14 ปี)
3.0
2.8
2.7
2.4
2.2
2.1
2.0
1.8
มัธยมปลาย (15-17 ปี)
3.0
3.0
2.7
2.8
2.3
2.2
2.1
1.9
อุดมศึกษา (18-24 ปี)
7.1
7.0
6.8
6.3
6.2
5.4
5.1
4.8
ที่มา : ปัทมา ว่าพัฒนวงศ์ และ ปราโมทย์ ประสาทกุล “ประชากรไทยในอนาคต”  อ้างถึงใน กฤตยา อาชวนิจกุล และ วรชัย ทองไทย(บรรณาธิการ)  ประชากรและสังคม 2549 สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล Institute for Population and Social Research, Mahidol University
             6.ปัญหาด้านสภาพแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงของโลก
             การที่โลกมีปัญหามีมลภาวะและการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศที่เรียกว่าโลกร้อนเพิ่มขึ้น ทำให้สภาพภูมิอากาศเกิดความแปรปรวน จึงเกิดปัญหาภัยแล้ง มีพายุและภัยพิบัติธรรมชาติต่างๆ บ่อยขึ้นรุนแรงขึ้น และในปี 2554 นี้ประเทศไทยประสบกับอุทุกภัย น้ำท่วมครั้งใหญ่  เป็นปัญหาที่จะกระทบต่อการจัดการเรียนการสอนในสถานศึกษาต่าง ๆ เศรษฐกิจและการเกษตรของไทยเป็นอย่างมาก   รวมไปถึงวีถีชีวิตและสุขภาพของคนทั่วไป
          จากผลกระทบดังกล่าว เราจะต้องตระหนักถึงความสำคัญและจัดการศึกษาให้คนไทยรู้จักการประหยัดในการผลิตและการบริโภค และเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตเพื่อลดการทำให้โลกร้อนและเกิดมลภาวะน้อยลง  ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเรื่องพลังงานทางเลือก เกษตรทางเลือก สาธารณสุขทางเลือกฯลฯ เพิ่มขึ้น  ซึ่งจะเป็นผลดีต่อทุกคนในระยะยาวมากกว่า การพัฒนาแบบใช้เทคโนโลยีตะวันตกเน้นการเพิ่มผลผลิต การเพิ่มการบริโภค เพื่อการหาเงินหากำไรอย่างที่รัฐบาลทุกรัฐบาลทำอยู่
แนวโน้มการศึกษาไทยในอนาคต
          สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2550) ได้ดำเนินการวิจัยเรื่อง ผลกระทบโลกาภิวัตน์ต่อการจัดการศึกษาไทยใน 5 ปีข้างหน้า โดยมอบให้มูลนิธิสถาบันอนาคตการศึกษาเพื่อการพัฒนา(ไอเอฟดี) เป็นผู้ดำเนินงานวิจัย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา  สภาพปัจจุบันและอนาคตสังคมโลกและสังคมไทยภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ใน 5 ปีข้างหน้า   ผลกระทบสังคมโลกและสังคมไทยภายใต้โลกาภิวัตน์ต่อการจัดการศึกษาใน 5 ปีข้างหน้า และจัดทำข้อเสนอสำหรับการศึกษาไทย เพื่อรองรับสภาพโลกาภิวัตน์ก่อนนำไปใช้เป็นฐานข้อมูลประกอบการกำหนดนโยบายและวางแผนการศึกษาไทย ให้เหมาะสมกับสภาพการเปลี่ยนแปลงของโลกาภิวัตน์ที่จะเกิดขึ้นต่อไป  โดยมีขอบเตการศึกษา เพื่อศึกษาสภาพสังคมไทยและสังคมโลกภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ศึกษาด้านสังคมและประชากร เศรษฐกิจและการอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม และการเมืองการปกครอง รวมถึงการศึกษาสภาพการจัดการศึกษาไทยด้านระบบการศึกษา ด้านการจัดการเรียนรู้ ด้านการบริหารและการจัดการศึกษา ด้านผู้บริหาร คณาจารย์ บุคลการทางการศึกษา และด้านทรัพยากรและการลงทุนเพื่อการศึกษา โดยจะศึกษาในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน การอุดมศึกษา การอาชีวศึกษา และการศึกษานอกโรงเรียน
          วิธีการศึกษา มีดังนี้
          ขั้นตอนที่ 1 ประเด็นในการศึกษา (Study Issues) เพื่อเป็นพื้นฐาน เป็นกรอบสร้างความเข้าใจ วิเคราะห์ความสัมพันธ์ คาดการณ์อนาคตการศึกษา กำหนดแนวทางพัฒนาการศึกษาไทยให้พร้อมรับสภาพโลกาภิวัตน์
          ขั้นตอนที่ 2  การสืบค้นปัจจัยหลัก (Detection of factors) เป็นกระบวนการค้นหาว่าปัจจัยใดมีอิทธิพลต่อการกำหนดภาพอนาคตการศึกษาไทย แบ่งเป็น 3 กลุ่ม
               - ปัจจัยด้านสังคมและประชากร สังคมเทคโนโลยีสารสนเทศ สังคมการแข่งขัน สังคมที่เกิดช่องว่าง สังคมที่   อยู่ภายใต้กรอบมาตรฐานสากล สังคมที่เคารพในสิทธิมนุษยชน สังคมผู้สูงอายุ สังคมที่มุ่งสร้างเอกลักษณ์ของชุมชน สังคมที่แสวงหาการเติมเต็มทางจิตใจ
                - ปัจจัยด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม เศรษฐกิจเสรี เศรษฐกิจเครือข่าย เศรษฐกิจดิจิตอล เศรษฐกิจฐานความรู้ เศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรมและเหลื่อมล้ำสูงขึ้น เศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออก เศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออก เศรษฐกิจที่พึ่งพา 
                    - ปัจจัยด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม
                    - ปัจจัยการเมืองการปกครอง
          2.  ปัจจัยด้านสถาบันการศึกษาไทย
          3.  ปัจจัยด้านรัฐต่อการจัดการศึกษาไทยภายใต้สภาพโลกาภิวัตน์  ภาวะผู้นำของผู้นำรัฐบาล
การกำหนดวิสัยทัศน์ยุทธศาสตร์การศึกษาชาติ การกำหนดจุดยืนแนวทางปฏิบัติต่อการเปิดเสรีการศึกษา การนำสู่ภาคปฏิบัติ การประเมินติดตามผล การกำหนดกฎหมายระเบียบที่เกี่ยวข้อง การเชื่อมโยงด้านยุทธศาสตร์ แผนงานและทรัพยากรกับภาคีอื่น
          โดยผลวิจัย ศ. ดร. เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์( http://www.kriengsak.com/node/77) ได้อธิบายแนวโน้มสำคัญของการศึกษาไทยใน 5 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากการที่กระแสโลกาภิวัตน์ได้กระทบต่อสังคมและประชากร เศรษฐกิจและอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม และการเมืองการปกครอง ซึ่งมีทั้งที่เป็นแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในด้านบวก และด้านลบ โดยบทความนี้ผมนำมาเสนอบางประเด็นที่สำคัญ ดังนี้
            แนวโน้มด้านบว
            - หลักสูตรใหม่เกิดขึ้นจำนวนมาก จากการเปลี่ยนแปลงและการแข่งขันในด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ทำให้คนในสังคมต้องการเพิ่มความรู้ความสามารถให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง จึงหันมาสนใจศึกษาต่อในหลักสูตรที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ ดังนั้น เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของคนในสังคมสถาบันการศึกษาจึงมุ่งพัฒนาหลักสูตรใหม่ ๆ อาทิ หลักสูตรที่บูรณาการระหว่างสองศาสตร์ขึ้นไป เช่น ระดับอาชีวศึกษาหลักสูตรเดียวจะมีหลายสาขาวิชา เรียนช่างยนต์จะผนวกการตลาดและการบัญชีเข้าไปด้วย เป็นต้น หลักสูตรที่ให้ปริญญาบัตร 2 ใบ และมีการพัฒนาหลักสูตรให้ทันสมัยตลอดเวลา
            - หลักสูตรนานาชาติมีแนวโน้มมากขึ้น เนื่องจากสภาพยุคโลกาภิวัตน์ที่มีการเชื่อมโยงด้านการค้าและการลงทุน ทำให้ตลาดแรงงานในอนาคตต้องการคนที่มีความสามารถด้านภาษาต่างประเทศ ส่งผลให้ความต้องการการศึกษาที่เป็นภาษาสากลมีมากขึ้น ที่สำคัญการเปิดเสรีทางการศึกษา ยังเป็นโอกาสให้สถาบันการศึกษาจากต่างประเทศเข้ามาจัดการศึกษาในประเทศไทย และเปิดหลักสูตรภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ฯลฯ ยิ่งมีส่วนกระตุ้นให้หลักสูตรการศึกษานานาชาติมีแนวโน้มได้รับความนิยมมากขึ้น แต่เนื่องจากหลักสูตรนานาชาติมีค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้น การเรียนในหลักสูตรนี้ยังคงจำกัดอยู่ในกลุ่มผู้เรียนที่มีฐานะดี
            - การจัดการศึกษามีความเป็นสากลมากขึ้น สภาพโลกาภิวัตน์ที่มีการเชื่อมโยงในทุกด้านร่วมกันทั่วโลก ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายองค์ความรู้ กฎกติกา การดำเนินการด้านต่าง ๆ ทั้งการค้า การลงทุน การศึกษา เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม เชื่อมต่อถึงกัน ประกอบการเปิดเสรีทางการศึกษา ส่งผลให้เกิดการหลั่งไหลหลักสูตรการเรียนการสอน บุคลากรด้านการสอน หลักสูตร จากสถาบันการศึกษาต่างประเทศเข้าสู่ไทย อันมีผลทำให้เกิดการเปรียบเทียบและผลักดันให้สถาบันการศึกษาไทยต้องพัฒนาการจัดการศึกษาที่มีความเป็นสากลที่เป็นที่ยอมรับ อีกทั้งการเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุนกับนานาประเทศของไทย ได้ส่งผลให้เกิดความต้องการการศึกษาที่มีคุณภาพทัดเทียมในระดับสากล
            - ความเหลื่อมล้ำด้านโอกาสทางการศึกษาลดลง เนื่องจากสภาพการเรียกร้องสิทธิมนุษยชนที่เป็นกระแสระดับโลกเกิดขึ้นควบคู่กับคลื่นประชาธิปไตยแผ่ขยายวงกว้างถึงไทย รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ส่งเสริมการเพิ่มสิทธิเสรีภาพแก่ประชาชน อีกทั้งสภาพการใช้เทคโนโลยีส่งเสริมการเรียนการสอน ทำให้ช่องทางการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเข้าถึงคนได้อย่างกว้างขวาง อย่างไรก็ตาม อาจเป็นได้ว่าความเหลื่อมล้ำด้านโอกาสทางการศึกษาจะลดลงในกลุ่มสถาบันการศึกษาของรัฐ ส่วนการจัดการศึกษาโดยสถาบันการศึกษาเอกชน ผู้เรียนที่ครอบครัวมีรายได้น้อยอาจเข้ารับบริการทางการศึกษาได้ลดลง เนื่องจากค่าเล่าเรียนแพง
            - โอกาสรับบริการทางการศึกษาที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้น เมื่อเปิดเสรีทางการศึกษา จะก่อเกิดการแข่งขันในการจัดการศึกษาทั้งจากสถาบันการศึกษาทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น หากพิจารณาในแง่บวก การเปิดเสรีทางการศึกษา เป็นการสร้างโอกาสให้คนไทยได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ เนื่องด้วยสถาบันแต่ละแห่งจะแข่งด้านคุณภาพมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันอุดมศึกษา คุณภาพการศึกษาจะเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก เนื่องจากการเปิดเสรีทางการศึกษา ที่เปิดโอกาสให้สถาบันอุดมศึกษาต่างชาติเข้ามาเปิดการเรียนการสอน จึงเป็นแรงกดดันให้สถาบันอุดมศึกษาไทยต้องพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้สูงขึ้น
            แนวโน้มด้านลบ
            - การเพิ่มช่องว่างด้านคุณภาพในการจัดการศึกษา แม้ว่าสภาพการแข่งขันทางการศึกษาจะเป็นแรงผลักให้สถาบันการศึกษาต่าง ๆ เร่งพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนมากขึ้น แต่เนื่องจากทรัพยากรตั้งต้นของแต่ละสถาบันการศึกษามีความแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นความรู้ความสามารถและปริมาณของบุคลากรการศึกษา งบประมาณ เงินทุน เทคโนโลยี สถานที่ ความมีชื่อเสียง ฯลฯ ส่งผลให้โอกาสพัฒนาคุณภาพการศึกษาย่อมแตกต่างกันด้วย โดยเฉพาะสถาบันการศึกษาขนาดเล็ก หรือสถาบันการศึกษาที่ยังไม่มีความพร้อม/มีทรัพยากรตั้งต้นไม่มาก ย่อมไม่มีศักยภาพเพียงพอในการพัฒนาคุณภาพมากนัก
            - การผลิตบัณฑิตเกินความต้องการของตลาด เนื่องจากความต้องการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษามีสูงขึ้น และการพัฒนาไปสู่การเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐที่ต้องหาเลี้ยงตนเอง มีอิสระในการบริหารและเปิดหลักสูตรเพื่อหาผู้เรียนเข้าเรียนให้ได้จำนวนมาก สิ่งเหล่านี้จะส่งผลกระทบระยะยาวคือ มีบัณฑิตจบเป็นจำนวนมากเข้าสู่ตลาดแรงงานไม่สามารถรองรับได้หมด โดยกลุ่มแรงงานระดับอุดมศึกษาที่ไม่มีคุณภาพหรือไม่จบจากสาขาที่ตลาดแรงงานต้องการ จะถูกผลักสู่แรงงานนอกระบบ หรือหาทางออกโดยเรียนต่อระดับสูงขึ้น ซึ่งอาจก่อเกิดภาวะแรงงานระดับปริญญาโทและเอกไม่มีคุณภาพและล้นตลาดตามมาเช่นกัน
            - การสอนทักษะการคิดและทักษะทางอารมณ์ยังไม่มีคุณภาพ สภาพเศรษฐกิจที่มุ่งแข่งขัน ทำให้การจัดการศึกษามุ่งพัฒนาทางวิชาการเป็นสำคัญ ในขณะที่ระบบการศึกษาไทยยังไม่สามารถพัฒนาทักษะการคิดของผู้เรียนได้เท่าที่ควร เนื่องจากการเรียนการสอนยังมุ่งสอนให้ผู้เรียนคิดตามสิ่งที่ผู้สอนป้อนความรู้มากกว่าการคิดสิ่งใหม่ ๆ ประกอบกับครูผู้สอนมีภาระงานมาก จนส่งผลต่อการพัฒนาบุคคลในด้านอื่น เช่น การพัฒนาเชิงสังคม รวมถึงการพัฒนาทักษะทางอารมณ์ นอกจากนี้ การใช้เทคโนโลยีในกิจวัตรประจำวันหรือใช้ในการเรียนการสอนทำให้การปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์ลดลง ส่งผลให้ช่องทางการพัฒนาทักษะทางอารมณ์และทักษะทางสังคมของผู้เรียนลดลงด้วย
            - การสอนคุณธรรมจริยธรรมยังไม่มีคุณภาพ แนวคิดของทุนนิยมที่มุ่งแข่งขันได้แพร่กระจายไปทั่วโลก ส่งผลให้ผู้คนต่างมุ่งแข่งขัน และพัฒนาความรู้ความสามารถ เพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงานและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ประกอบกับสถาบันการศึกษาจำนวนมากมุ่งพัฒนาความรู้ทางวิชาการ และประเมินผลการเรียนที่ความสามารถทางวิชาการ จนอาจละเลยการพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณธรรมจริยธรรม นอกจากนี้ การไม่ได้มีผู้สอนที่รู้เชี่ยวชาญด้านการสอนคุณธรรมจริยธรรมโดยตรงหรือมีคุณภาพ ย่อมส่งผลต่อคุณภาพการสอนของวิชาคุณธรรมจริยธรรมได้
            - การสอนภาษาต่างประเทศยังไม่มีคุณภาพ ยิ่งก้าวสู่โลกไร้พรมแดนมากขึ้นเท่าใด ผู้มีความรู้ด้านภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาอังกฤษ หรือภาษาจีนที่ผู้คนส่วนใหญ่ในโลกใช้ติดต่อสื่อสาร เจรจาต่อรอง การค้า การศึกษา ฯลฯ ย่อมมีความได้เปรียบ ทั้งในเรื่องการติดต่อสื่อสารและความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่พบคือ การสอนภาษาอังกฤษ และภาษาต่างประเทศของไทยยังไม่มีคุณภาพเท่าที่ควร เนื่องจากครูผู้สอนมีความสามารถด้านภาษาต่างประเทศค่อนข้างต่ำ โดยเฉพาะครูผู้สอนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ครูจำนวนมากไม่ได้จบเอกภาษาอังกฤษโดยตรง และมีแนวโน้มว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า การพัฒนาการสอนทักษะภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษแม้ปัจจุบันจะตื่นตัวมากขึ้น แต่ยังไม่ก้าวหน้าไปมากเท่าที่ควร เพราะทรัพยากรด้านบุคลากรสอนภาษาต่างประเทศนี้ขาดแคลนมาก
          ผลกระทบของโลกาภิวัตน์ต่อการศึกษาไทยมีทั้งด้านบวกและด้านลบ ซึ่งหลีกเลี่ยงได้ยาก แต่การพัฒนาระบบการศึกษาไทยให้พร้อมต่อสภาพโลกาภิวัตน์ได้นั้น จำเป็นต้องเตรียมพร้อมในเชิงรุกตั้งแต่วันนี้ โดยรัฐควรเน้นการบริหารจัดการในส่วนที่ไทยได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยพัฒนาศักยภาพของบุคลากรภายในสถาบันการศึกษา สนับสนุนทุนวิจัยเพื่อพัฒนาการศึกษา และสร้างเครือข่ายภาคประชาชนเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการพัฒนาการศึกษารองรับกระแสโลกาภิวัตน์
การศึกษาไทยในยุคโลกาภิวัตน์
          การศึกษาของไทยจะมีแนวโน้มเป็นระบบการศึกษาที่เพิ่มศักยภาพ การเรียนรู้ ส่งเสริมทักษะเกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาตนเองได้ต่อเนื่องตลอดชีวิต สามารถพัฒนาหรือปรับตัวให้เท่าทันกับสภาวะการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลก ในเรื่องของ ECIT
          ECIT ก็คือ
                   • E : Electronic เทคโนโลยีอีเล็กทรอนิกส์
                   • C : Computer เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
                   • I : Information เทคโนโลยีสารสนเทศ
                   • T: Telecommunication เทคโนโลยีโทรคมนาคม
ความสำคัญการศึกษาไทยในยุคโลกาภิวัตน์
          - เป้าหมายของการศึกษา จะเป็นไปในลักษณะที่มุ่งพัฒนาวุฒิของความเป็นมนุษย์ ที่วัดไม่ได้ด้วย วุฒิบัตร
          - เนื้อหาของการศึกษา จะเน้นส่งเสริมสร้างการพัฒนาความเป็นมนุษย์ให้สมดุล
          - รูปแบบของการจัดการศึกษาในอนาคต จะให้อิสระแก่ผู้เรียนมากขึ้น ให้คนรักท้องถิ่นและสามารถดำเนินชีวิตในท้องถิ่นได้อย่างพึงพอใจ มีการใช้รูปแบบขององค์กรต่าง ๆ เข้ามารวมกับการศึกษามากขึ้น เช่น ครอบครัว ชุมชน สื่อมวลชน องค์กรศาสนา ภาคเอกชน องค์กรเอกชน องค์กรเฉพาะกิจ
          - ระบบการศึกษาจะเป็นการเรียนรู้ เป็นแบบเสรี มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศข้อมูลของโลก มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการจัดการศึกษา
          - โรงเรียนในอนาคต จะเป็นแบบลักษณะ Plug-in Scool และ Global Classes ซึ่งครูกับนักเรียนไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่แต่ในห้องเรียน แต่จะกลายเป็น Cyber Space Curriculum คือ บทเรียนสมัยใหม่ที่ผ่านสื่อยุคใหม่ เช่นอินเตอร์เน็ต อันจะทำให้สามารถศึกษาค้นคว้าแหล่งข้อมูลต่าง ๆทั่วโลกได้อย่างไม่มีขีดจำกัด  จากการจัดการระบบการเรียนรู้ในสังคมยุคใหม่  พบว่ามุ่งการจัดการเรียนรู้ด้ว






ความคิดเห็น